คณะรัฐศาสตร์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ จัดเสวนาวิชาการหัวข้อ ‘มาตรการภาษียาเส้น เพื่อลดการบริโภคยาสูบให้ได้ตามเป้าหมาย’ ที่องค์การอนามัยโลกกำหนดไว้ โดยมีวิทยากรที่ร่วมงานเสวนา ประกอบด้วย รศ.ดร.อรรถกฤต ปัจฉิมนันท์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ดร.พญ. เริงฤดี ปธานวนิช
รองผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.) และดร.นงนุช ตันติสันติวงศ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินการคลัง มหาวิทยาลัยเซาแทมป์ตัน ประเทศอังกฤษ
ดร.พญ. เริงฤดี ปธานวนิช รองผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ
(ศจย.) กล่าวว่า ภายในปี 2562 ประเทศไทยตั้งเป้าหมายลดการจำนวนผู้สูบลงเหลือไม่เกินร้อยละ
16.7 จากปัจจุบันที่จำนวนผู้สูบที่สำรวจล่าสุดปี 2560
โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติอยู่ที่ร้อยละ 19.1 หรือลดจำนวนผู้สูบให้ได้ล้านกว่าคนภายในปีหน้า
และไทยยังให้คำมั่นในระดับนานาชาติต่อองค์การอนามัยโลก (NCD
Global Targets) ที่กำหนดเป้าหมายลดการบริโภคยาสูบลงให้ได้ร้อยละ 30
ภายในปี 2568 ซึ่งสำหรับประเทศไทยคือการลดอัตราผู้บริโภคยาสูบลงเหลือร้อยละ
14.7 ให้ได้ภายในปี 2568
แต่การจะดำเนินงานไปให้ถึงเป้าหมายนั้นยังมีอุปสรรคใหญ่อยู่ที่
“ยาเส้น” ที่ผ่านมารัฐบาลมุ่งเน้นการใช้มาตรการภาษีในอัตราที่สูงกับบุหรี่ซิกาแรต คือ 1.20
บาท/มวน บวกร้อยละ 20 ของราคาขายปลีกสำหรับบุหรี่ที่ราคาไม่เกินซองละ 60 บาท หรือบวกอีกร้อยละ 40 ของราคาปลีกสำหรับบุหรี่ที่ราคาเกินซองละ 60 บาท ในขณะที่อัตราภาษียาเส้นต่ำมากเพียง 0.005 บาทต่อกรัม
ทำให้เกิดช่องว่างด้านราคาระหว่างบุหรี่ซองกับยาเส้นสูงมาก กล่าวคือ
ยาเส้นแพคขายปลีกราคา 12 บาท
ผู้บริโภคนำไปมวนเองได้จำนวนมวนมากหรือน้อยขึ้นกับปริมาณยาเส้นที่ใช้มวนในแต่ละครั้ง ในขณะที่บุหรี่ซองมีจำนวน 20 มวนขายราคาปลีกที่ 60 บาท ความต่างของราคาจึงห่างกันถึง 5 เท่า
ผลที่เกิดขึ้นชัดเจน
หลังการประกาศใช้อัตราภาษีแบบใหม่นี้ตั้งแต่กันยายน 2560 คือสิงห์อมควันเปลี่ยนการบริโภคจากบุหรี่มวนไปเป็นยาเส้นซึ่งเป็นสินค้าทดแทนที่ราคาถูกกว่าบุหรี่มาก
และยังเข้าถึงได้ง่าย
“ยาเส้น” จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้อัตราการการบริโภคยาสูบในประเทศไทยลดลงได้ตามเป้าหมายได้
ด้วยการใช้มาตรการภาษีในอัตราที่ใกล้เคียงกับอัตราภาษีบุหรี่ และเป็นปัจจัยที่ยังเป็นตัวปัญหาสำคัญ ซึ่งปัจจุบัน
ศจย.กำลังดำเนินการศึกษาวิจัยเพื่อวางกรอบแนวทางในการปรับขึ้นภาษียาเส้นอย่างเหมาะสมเพื่อนำเสนอให้รัฐบาลต่อไป โดยศึกษาอย่างรอบด้านถึงผลกระทบที่มีต่อเกษตรกรชาวไร่ยาสูบ
ผู้ผลิต ผู้นำเข้า ผู้ค้า และผู้บริโภค
รศ.ดร.
อรรถกฤต ปัจฉิมนันท์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระบุว่า ปัจจุบันยาเส้นเสียภาษีต่ำมาก
และหลังจากการปรับโครงสร้างภาษียาสูบเมื่อเดือนกันยายน 2560
กรมสรรพสามิตก็ยอมรับว่ามีนักสูบจำนวนหนึ่งที่เปลี่ยนไปสูบยาเส้นแทนบุหรี่มวน ด้วยปัจจัยด้านราคา และช่องว่างราคาระหว่างบุหรี่และยาเส้นจะห่างมากขึ้นไปอีกในเดือนตุลาคม
2562 จากการขึ้นภาษีบุหรี่เป็นร้อยละ 40 สำหรับบุหรี่ซองที่ราคาขายปลีกไม่เกินซองละ 60 บาท นี่คือความจำเป็นที่รัฐบาล
ควรเร่งใช้มาตรการภาษีกับยาเส้นให้เป็นรูปธรรมชัดเจนเร็วที่สุด
ทั้งนี้ มีข้อมูลในทางวิชาการระบุว่า
การขึ้นราคาบุหรี่มวน 10 บาทต่อซองสามารถลดการสูบบุหรี่ลงได้ 24% ขณะเดียวกันก็ทำให้มีอัตราการเพิ่มของผู้สูบยาเส้นมวนเองราว
12% และเพิ่มอัตราผู้สูบทั้งบุหรี่และยาเส้นอีก 12% แสดงให้เห็นว่า 24% ที่ลดลงนั้นไม่ได้มีผลต่อภาพรวมการบริโภคยาสูบแต่อย่างใด เป็นแต่เพียงการย้ายตลาดการบริโภคเท่านั้น และจากผลสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติในทุกสามปี
พบว่า แม้อัตราการบริโภคยาสูบในภาพรวมจะค่อยๆ ลดลง
แต่เมื่อเทียบอัตราผู้สูบบุหรี่และผู้สูบยาเส้นในการสำรวจทุกครั้ง
จำนวนผู้สูบยาเส้นไม่ได้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ยังคงเป็นอัตราร้อยละ 50
ของจำนวนผู้บริโภคยาสูบ โดยตัวเลขล่าสุดปี 2560 ผู้บริโภคยาสูบมีจำนวน 10.7 ล้านคน เป็นผู้สูบยาเส้นมวนเองจำนวน
5.3 ล้านคน
อย่างไรก็ตาม นักวิชาการให้ความเห็นว่า
ถ้ายาเส้นราคาแพงขึ้นทันทีในคราวเดียวจากมาตรการภาษีให้ใกล้เคียงกับอัตราภาษีบุหรี่
ย่อมส่งผลกระทบต่อบรรดาสิงห์ยาเส้นที่มีรายได้น้อย ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องกล้าเผชิญ และเพื่อลดผลกระทบดังกล่าว รัฐบาลควรประกาศแผนการขึ้นภาษียาเส้นในระยะ 3-5 ปี
เป็นแผนระยะกลางและระยะยาวและเป้าหมายอัตราภาษีที่คิดว่าเหมาะสม
เพื่อให้ผู้บริโภคและผู้เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมยาสูบได้เตรียมปรับตัวและวางแผนการจัดการได้
เช่นเดียวกับในปัจจุบันที่รัฐบาลประกาศเรื่องภาษีความหวาน มัน
เค็ม เพื่อช่วยดูแลสุขภาพประชาชน
ด้านนักวิชาการจากประเทศอังกฤษ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินการคลัง
และการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับโครงสร้างภาษีผลิตภัณฑ์ยาสูบ ดร.นงนุช ตันติสันติวงศ์
ได้ยกตัวอย่างกรณีศึกษาจากต่างประเทศ ที่มีการปรับอัตราภาษียาเส้นให้ใกล้เคียงกับภาษีบุหรี่มวน
ไม่ว่าจะเป็นอังกฤษ แคนาดา ออสเตรเลีย
เป็นต้น พร้อมกับชี้ว่าไม่มีความจำเป็นหรือเหตุผลที่จะต้องแบ่งยาเส้นออกเป็นแบบปรุงกับแบบไม่ปรุง
โดยให้เสียภาษีในอัตราที่ต่างกัน เพราะไม่ว่าจะเป็นยาเส้นแบบใดต่างก็เป็นสินค้าที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนเหมือนกัน
ดังนั้น ในเบื้องต้นนี้ ไทยควรยกเลิกการแบ่งประเภทยาเส้น
และตามมาด้วยการขึ้นภาษียาเส้นแบบไม่ปรุงให้มีอัตราเท่ากับเท่ากับยาเส้นปรุงเสียก่อน
คือ 1.20
บาทต่อกรัม
จากนั้นในระยะต่อไปจึงค่อยปรับให้อัตราการขึ้นภาษียาเส้นใกล้เคียงกับอัตราภาษีบุหรี่มวน
โดยเสนอให้คิดอัตราภาษีตามน้ำหนักเป็นกรัมทั้งบุหรี่และยาเส้น และเห็นพ้องว่า รัฐบาลควรจัดทำแผนภาษีเป็นระยะกลางและระยะยาว
เพื่อกำหนดอัตราขั้นภาษีที่ชัดเจนสำหรับผลิตภัณฑ์ยาเส้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น