งานวิจัยเผยภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีอัตราผู้ต้องขังหญิงสูงสุดในโลก
คดียาเสพติดครองแชมป์กว่า 80% เหตุเกี่ยวข้องปัญหาสังคม ความยากจน ความรุนแรงในครอบครัว
ด้านนักวิชาการหนุนใช้ยุติธรรมทางเลือก สร้างกรอบการบำบัดฟื้นฟูอย่างมีประสิทธิภาพ
หวังสร้างชีวิตหลังพ้นโทษอย่างมีคุณภาพ
ลดอัตราการกระทำผิดซ้ำ
ร็อบ อัลเลน นักวิจัยอิสระเปิดเผยถึงผลวิจัยเรื่องการส่งต่อผู้ต้องขังหญิงคืนสู่สังคม
(Social reintegration) ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้พบว่า ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในลาว พม่า สิงคโปร์ และไทย มีอัตราการจำคุกในเพศหญิงต่อจำนวนผู้ต้องขังทั้งหมดมากที่สุดในโลก
คิดเป็น 10% ของจำนวนผู้ต้องขังทั้งหมด โดย 4 ใน 5
ของการกระทำผิดของผู้ต้องขังหญิงในไทยและอินโดนีเซียมีมูลเหตุของการกระทำความผิดที่เกี่ยวข้องกับคดียาเสพติด
เมื่อพิจารณาถึงคดียาเสพติดของผู้ต้องขังหญิง พบว่า ปัจจัยที่ทำให้ผู้ต้องขังหญิงข้องเกี่ยวกับยาเสพติดมาจากปัญหาความยากจน และต้องการหารายได้มาจุนเจือครอบครัว โดยผู้ต้องขังหญิงในคดียาเสพติดมักจะถูกบังคับ หรือ ถูกทำร้ายร่างกาย ให้เป็นผู้ค้ายาหรือส่งต่อ ซึ่งผู้ต้องขังหญิงที่ผ่านประสบการณ์เหล่านี้มีความเสี่ยงสูงในการกระทำผิดซ้ำ ส่วนการครอบครองยาเสพติดไว้เพื่อเสพเป็นปัจจัยรองลงมา ซึ่งเหตุจูงใจที่ทำให้ผู้หญิงใช้ยาเสพติด มาจากปัญหาความรุนแรงในครอบครัว
บำบัด-ฟื้นฟู ลดทำผิดซ้ำ
มิวเรียล จอร์แดน เอธวินยอน
เจ้าหน้าที่ด้านการป้องกันอาชญากรรมและกระบวนการยุติธรรมทางอาญาแห่ง UNODC กล่าวว่า กระบวนการบำบัดฟื้นฟูก่อนส่งคืนผู้ต้องขังสู่สังคมเป็นขั้นตอนที่มีข้อผูกพันกับกฎหมายและข้อตกลงระหว่างประเทศหลายฉบับ
ทั้งกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและ
สิทธิทางการเมือง (ICCPR)
ซึ่งเป็นสนธิสัญญาพหุภาคีด้านสิทธิมนุษยชน ข้อกำหนดเนลสันเเมนเดลลา (Mandela
Rules)
ซึ่งเป็นข้อกำหนดขั้นต่ำขององค์การสหประชาชาติในการปฏิบัติต่อผู้ต้องขัง รวมถึงข้อกำหนดกรุงเทพ
(Bangkok Rules)
ซึ่งเป็นข้อกำหนดของสหประชาชาติว่าการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหญิงในเรือนจำและมาตรการที่มิใช่การคุมขังสำหรับผู้กระทำผิดหญิง
สำรวจความก้าวหน้า “การลดการกระทำผิดซ้ำ” ในโบลิเวีย-อินโดฯ
มิวเรียล กล่าวว่า
เพื่อเป็นการลดอัตรากระทำผิดซ้ำหลังพ้นโทษ ในโบลิเวียมีการอบรมให้ความรู้ด้านการประกอบอาชีพในอุตสาหกรรมที่มีความต้องการสูงอย่างอุตสาหกรรมก่อสร้าง
และยังมีรายได้สูงกว่ารายได้ขั้นต่ำถึง 25% โดยมองว่า
การอบรมเป็นการเสริมศักยภาพในการประกอบอาชีพ ทำให้มีความมั่นคงทางการเงิน
และทำให้กลับไปสู่ชีวิตปกติอย่างยั่งยืน ไม่กระทำผิดซ้ำอีก
นอกจากนี้ ในโบลีเวียเอง
ยังมีความร่วมมือกับสมาคมผู้ประกอบการก่อสร้างหญิง
ช่วยสนับสนุนและให้โอกาสในการทำงาน ไปจนถึงการก่อร่างสร้างกิจการของตัวเอง
ไอชยา ยูลีอานี เจ้าหน้าที่ประสานงานโครงการความยุติธรรมอาญา UNODC กล่าวว่า
ในช่วงระยะเวลาก่อนพ้นโทษ ผู้ต้องขังหญิงของอินโดนีเซียจะได้การสนับสนุนเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนพ้นโทษ
เช่น การให้คำปรึกษาด้านสุขภาพจิต การบำบัดการติดบุหรี่
การได้รับโอกาสในการพบเจอสมาชิกในครอบครัว
ขณะเดียวกัน อินโดนีเซียมีความก้าวหน้าด้านกฎหมายเช่นกัน
โดยมีการตรากฎหมายที่ระบุให้ครอบครัวที่พบสมาชิกในครอบครัวมีอาการติดยาเสพติดต้องมีการรายงานต่อเจ้าหน้าที่
ซึ่งกฎหมายนี้มีส่วนช่วยในการให้ครอบครัวเปิดโอกาสให้ผู้ต้องขังได้รับการยอมรับและกลับมาสู่สังคมและครอบครัวได้ง่ายยิ่งขึ้น
อัตราการทำผิดซ้ำผู้ต้องขังหญิงไทยสูง
ชลธิช ชื่นอุระ ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมข้อกำหนดกรุงเทพและการปฏิบัติต่อผู้กระทำผิด
สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทยหรือ TIJ กล่าวว่า จากข้อมูลของกรมราชทัณฑ์พบว่า
ประเทศไทยมีนักโทษจำนวนประมาณ 380,000 ราย เป็นผู้ต้องขังหญิงราว 48,000 ราย
คิดเป็น 12.6% มีอายุเฉลี่ยที่ 34 ปี ส่วนใหญ่ได้รับโทษจำคุก 2-5 ปี (44%) ตามด้วย
5-10 ปี (18%) และ 20-50 ปี (10%) นอกจากนี้ ยังพบว่า ผู้กระทำผิดมีมูลเหตุจากคดียาเสพติดคิดเป็น
83% ตามด้วยคดีลักทรัพย์ 10.3% และคดีประทุษร้ายทำร้ายร่างกาย 1.4%
ในแง่ของการศึกษา ผู้ต้องขังหญิงถึง 2 ใน 3
ได้รับการศึกษาต่ำกว่าระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย และ 80%
ของผู้ต้องขังอยู่ในสถานะ “แม่”
อัตราการกระทำผิดซ้ำมีสูงถึง 34% ในกลุ่มผู้ต้องขังหญิงที่พ้นโทษไปแล้ว
3 ปี ตามด้วยผู้ต้องขังที่พ้นโทษไปแล้ว 2
ปี (26%) และผู้ต้องขังที่พ้นโทษไปแล้ว 1 ปี (14.5%) ซึ่งอัตราการกระทำผิดซ้ำนั้นมีสาเหตุหลัก
2 ประการ ได้แก่ 1. ขาดการบำบัดฟื้นฟูที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ อันเนื่องมาจากปัญหานักโทษล้นคุก
2. ปัญหาที่ประสบหลังพ้นโทษ เช่น การถูกตีตราจากสังคม ความเชื่อมั่นในตัวเองต่ำ
ปัญหาว่างงาน ครอบครัวแตกแยก และปัญหาที่อยู่อาศัย
สำหรับประเทศไทย มีความพยายามในการลดอัตราการกระทำผิดซ้ำหลากหลายวิธี
ตัวอย่างเช่น การจัดให้มีโปรแกรมบำบัดฟื้นฟูผู้ต้องขังหญิงก่อนส่งคืนสู่สังคม
การจัดตั้งศูนย์ประสานงานและส่งเสริมการมีงานทำ หรือ ศูนย์ CARE โดยกรมราชทัณฑ์
เพื่อช่วยเหลือผู้ต้องขังให้มีงานทำ สอดคล้องกับภูมิหลังหรือวิถีชีวิตจริงนอกเรือนจำท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของสภาพเศรษฐกิจและสังคม
นอกจากนี้ เมื่อต้นปี
รัฐบาลได้ออกมาตรการสนับสนุนการจ้างงานผู้ต้องขังหลังพ้นโทษของภาคธุรกิจและกิจการเพื่อสังคมผ่านมาตรการภาษี
ขณะเดียวกัน TIJ ยังได้ส่งเสริมรูปแบบความร่วมมือในรูปแบบภาคีพันธมิตรทางสังคม
(Social partnership model)
โดยสร้างความร่วมมือจากพันธมิตรทางสังคม 9 กลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญภายนอก
นักบำบัดวิทยา ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ไม่ว่าจะเป็นการเสริมสร้างสุขภาพใจ
การจัดการการเงิน การพัฒนาอาชีพ การวางแผนธุรกิจ การหวนคืนสู่ครอบครัว
และความช่วยเหลือหลังพ้นโทษ เป็นต้น ซึ่งโครงการ
นำร่องดังกล่าว ได้ทดลองใช้แล้วที่เรือนจำกลาง จ.พระนครศรีอยุธยา
โดยให้การอบรมแก่ผู้ต้องขังหญิงจำนวน 34 ราย เป็นเวลาทั้งสิ้น 250 ชั่วโมง
ในระยะเวลา 3 เดือนก่อนพ้นโทษ
นอกจากนี้ ยังมีกระบวนการติดตามความคืบหน้าคุณภาพชีวิตหลังพ้นโทษ
เพื่อให้มั่นใจว่าพวกเขามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และจะไม่กระทำผิดซ้ำอีก
อย่างไรก็ตาม ในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้กระบวนการบำบัดฟื้นฟูและคืนผู้ต้องขังคืนสู่สังคมชะงัก เนื่องจากข้อจำกัดในการติดต่อกับครอบครัวและบุตรของผู้ต้องขัง ขณะเดียวกัน มีปัจจัยเรื่องความกังวล และความเครียดเข้ามาเกี่ยวข้อง กระบวนการให้ความรู้ การฝึกอาชีพต้องยกเลิกกลางครัน ทำให้ไม่สามารถสร้างความมั่นใจในแง่ของคุณภาพชีวิตหลังพ้นโทษของผู้ต้องขังได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น